เมื่อพูดถึงเรื่องผี หลายๆคนอาจให้ความเห็นและความรู้สึกที่แตกต่างกันไป บางคนอาจรู้สึกกลัว
บางคนอาจรู้สึกให้ความสนใจ จะเห็นได้ว่าเมื่อไรที่มีการเล่าเรื่องผีมักจะเป็นที่สนใจของคนหลายคนจนต้อง
จับกลุ่มพูดคุยกัน และเมื่อพูดถึงเรื่องสถานที่ที่ผีอยู่ คนทั่วไปต่างก็จะนึกถึง บ้านหรืออาคารที่หลังเก่าๆ
เคยมีคนตาย สถานที่ที่ไม่มีคนอยู่ ซึ่งสถานที่ดังกล่าวก็มีอยู่หลายแห่งหลายที่ที่ขึ้นชื่อเรื่องผีและวิญญาณ
แต่ไม่ใช่กับที่นี่ "บ้านเขียว" บ้านที่มีอายุเก่าแก่มากกว่าร้อยปี และได้ถูกกล่าวขานว่าเป็น...บ้านผีสิง
บ้านเขียวนี้เป็นบ้านเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ตั้งอยู่ในเขตตำบลอมฤต อำเภอผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา
บ้านของผมเอง เป็นบ้านของขุนพิทักษ์บริหารผู้ซึ่งเป็นนายแขวงเสนาใหญ่(ซึ่งก็คืออำเภอผัก ไห่ในขณะนี้)
บ้านเขียวเป็นบ้านทรงปั้นหยาตั้งอยู่ริมแม่น้ำน้อย สาเหตุที่เรียกว่าบ้านเขียวเพราะเดิมทีบ้านหลังนี้ทาสีเขียว
เนื่องจากเจ้าของบ้านเกิดวันพุธ ในสมัยก่อนบ้านเขียวเต็มไปด้วยความสุข ความสนุกสนาน เต็มไปด้วยความรื่นเริง
ในสมัยช่วงที่ท่านขุนฯยังมีชีวิตอยู่ได้จัดให้มีงานรื่นเริงอย่างยิ่งใหญ่ อยู่บ่อยครั้ง เช่น งานทอดกฐิน งานแข่งเรือ ฯลฯ
ทั้งยังเคยเป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จประพาสต้นมาทางแม่น้ำน้อย
จนกระทั่งเมื่อท่านขุนฯเจ้าของบ้านสิ้นชีวิต ทางญาติๆจึงได้อพยพไปอยู่ที่กรุงเทพกัน ภรรยาเจ้าของบ้านจึงยกให้เป็นสมบัติของหลวง
และบ้านหลังนี้ก็ค่อยๆเริ่มร้างและทรุดโทรมลง ต้นไม้ เถาวัลย์ ค่อยๆขึ้นปกคลุมราวกับว่ามันกำลังทำหน้าที่ปกป้องบ้านแทนเจ้าของบ้านของมันอยู่
สภาพของบ้านก่อนที่จะมีการบูรณะ
สำหรับผมเองนั้นเป็นคนในพื้นที่ บ้านของผมอยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านเขียวสักเท่าไร แต่ทำไมผมกลับไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย
ในเมื่อผมไม่เคยได้ยินชื่อบ้านเขียวแล้ว เรื่องกิตติศัพท์ถึงความเป็นบ้านผีสิง ผมยิ่งไม่เคยได้ยิน จนกระทั่งเมื่อสัก หลายปีก่อน
มีเรื่องก็ดังขึ้น เมื่อมีรายการผีรายการหนึ่ง ทางช่อง 7 ได้เข้าไปถ่ายทำรายการ และก็ได้บอกว่าได้เจอกับพลังงานพิเศษ
ได้เจอคนมาสะกิด ทั้งที่ไม่มีใครอยู่ จนกลายเป็นข่าวดังลงหนังสือพิมพ์ และสื่อโทรทัศน์อยู่หลายครั้งหลายหน
ล่าสุดเมื่อปีที่แล้วก็มี่รายการหนึ่งทางช่อง 5 นะถ้าผมจำไม่ผิด ให้พิธีกรชายเข้าไปนั่งในตัวบ้านและติดตั้งกล้องไว้
ผลปรากฎว่า ในกล้องมีเงาแว๊บไปแว๊บมา เห็นเป็นเงาเหมือนกับแขนคนที่ใส่เสื้อแขนยาว (บ้างก็เดาว่าเป็นเสื้อราชประแตน)
ภาพเด็กผู้ไปพิสูจน์บ้านร้างหลังนี้ กับภาพท่านขุนฯผู้ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้
ในช่วงนั้นผมเองก็ไม่เคยได้ไปพิสูจน์อะไรกับเขาหรอก เพราะว่าเป็นช่วงที่ผมไปเรียนอยู่ต่างจังหวัด
พอช่วงที่กลับบ้านก็เลยชวนเพื่อนไปอยู่ครั้งนึง ปรากฎว่า โห...คนมาจากไหนกัน เต็มเลย คนพวกนี้ล้วนแล้วแต่ถือธูปเทียน
มาขอหวยกัน แถมถูกอีกด้วยนะ เลยยิ่งเป็นกระแสให้คนมาขอหวยกันเต็ม ซึ่งสภาพรอบๆบ้าน กลายเป็นเหมือนงานวัด
หรืองานอะไรสักอย่าง มีทั้งร้านค้าขายก๋วยเตี๋ยว ขายขนม ทำลานจอดรถ หมดความเป็นบ้านผีสิงอย่างที่ผมคาดไว้เลย
คนก็เยอะและมาเห็นสภาพแบบนี้ก็เลยตัดสินใจกลับ เป็นอันว่าไม่ได้เข้าไปดูให้ชัดๆครับ
จนเมื่อประมาณเกือบๆ 2 ปีก่อนผมกับแฟนมีโอกาสกลับไปเยี่ยมแม่ผมที่ผักไห่ ผมก็ได้ชวนแฟนแวะไปที่บ้านเขียวแห่งนี้กัน
ด้วยความหวังว่าจะเข้าไปพิสูจน์ดู คราวนี้ผมไปตอนประมาณ 6 โมงครึ่ง กำลังโพล้เพล้เลยครับ พอไปถึงทั้งผมกับแฟนก็ยังอึ้งเลย
บรรยากาศเงียบมาก ไม่มีร้านค้าขายก๋วยเตี๋ยว ไม่มีคนมาขอหวย มีแต่บ้านเปล่าๆ พอลงจากรถเพื่อจะเดินเข้าไปในบ้าน
หน้าบ้านมีรูปท่านขุนฯเจ้าของบ้านติดอยู่ แต่ให้ตายเหอะ!!! ไม่รู้ทำไม สาบานได้ว่าผมไม่ได้โกหก ทำไมตัวผมเองถึงหนังอึ้งก็ไม่รู้
เหมือนกับขาก้าวไม่ออก จากจุดที่ผมยืนอยู่กับตัวบ้านห่างกันไม่กี่สิบเมตร ยิ่งพยายามเดินเข้าไปตัวก็ยิ่งหนัก ผมนึกว่าผมจะเป็นคนเดียว
แฟนผมก็เป็นจนแฟนผมบอกว่าไม่ต้องเข้าไป ให้กลับเหอะ... อารมณ์ตอนนั้นต่างกับอารมณ์ตอนแรกที่จะมาเลย สุดท้ายก็กลับ
พอกลับถึงบ้านก็เอาเรื่องไปเล่าให้เพื่อนๆฟัง เพื่อนก็เล่าให้ฟังว่าเมื่อกว่าปีก่อน ตัวของมันกับเพื่อนๆ ไปลองของกันไปเล่นผีถ้วยแก้วกัน
ปรากฎว่าแก้วก็ขยับแล้วมันก็ถามเรื่องโน่นเรื่องนี้อะไรไปเรื่อยเปื่อย ตามประสาวัยรุ่น ไม่รู้ว่าไปลบหลู่อะไรเขาหรือเปล่า จนมันจะกลับกัน
ก็ขี่มอเตอร์ไซต์เรียงๆกันตามมา ไอ้เพื่อนผมมันก็ขี่มอไซต์อยู่คนหน้าๆ โดยมีเพื่อนของมันขี่ตามกันมา มันมองไปที่กระจก
ก็เห็นเหมือนกับคนใส่ชุดขาว ตามมาอยู่ด้านหลัง ขี่กันไปถึงบ้านเพื่อนที่เป็นจุดหมายปลายทาง พอถึงต่างคนก็ต่างคุยกัน
ปรากฎว่าเห็นเหมือนกัน ...(ปล.เรื่องนี้โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)
ที่มา: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=manchu&group=2&month=08-2007&date=05
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น