สนทนาสิ่งแวดล้อม

OTOP

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา

ความรู้เรื่องสารสนเทศ


เนื้อหาในบทนี้ กล่าวถึงความรู้เรื่องสารสนเทศทางด้านความหมายของคำที่เกี่ยวข้องกับสารสนเทศ และความสำคัญของสารสนเทศ เพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าใจความหมาย สามารถแยกแยะความหมายของคำที่เกี่ยวข้องได้แก่ คำว่าสารสนเทศ สารนิเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบสารสนเทศ การรู้สารสนเทศ และการจัดการความรู้ รวมทั้งเห็นความสำคัญของสารสนเทศที่มีต่อการศึกษา สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ความหมายของคำที่เกี่ยวข้องสารสนเทศ หรือ สารนิเทศ บัญญัติมาจากคำว่า “information” ราชบัณฑิตยสถานกำหนดให้ใช้ได้ทั้งสองคำ คำว่า “สารสนเทศ” มักนิยมใช้ในวงการคอมพิวเตอร์ การสื่อสาร และธุรกิจ ส่วนในวงการบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ ใช้คำว่า “สารนิเทศ” ดังที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงกล่าวถึงความหมายและความแตกต่างของทั้งสองคำดังนี้ (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, 2538, อ้างถึงใน ประหยัด ช่วยงาน, 2549) …คำว่า “สารสนเทศ” หรือ “สารนิเทศ” ซึ่งเป็นคำที่ได้ยินกันอย่างแพร่หลายในช่วง 10 ปีกว่ามานี้ เมื่อ 10 ปีก่อนได้รับเชิญไปเป็นกรรมการที่ปรึกษาของสาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้มีโอกาสพิจารณาหลักสูตรวิชาที่แปลมาจากคำว่า “Information Science” ตอนนั้นเรียกว่า “สารสนเทศ” ตอนหลังเปลี่ยนเป็น “สารนิเทศศาสตร์” …คำว่าสารสนเทศ และ สารนิเทศ ต่างก็เป็นศัพท์บัญญัติของคำว่า “information” ราชบัณฑิตยสถานกำหนดให้ใช้ได้ทั้ง 2 คำ ในวงการคอมพิวเตอร์ การสื่อสารและธุรกิจ นิยมใช้คำว่า “สารสนเทศ” ส่วนในวงการบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ใช้คำว่า “สารนิเทศ” ความหมายกว้าง ๆ หมายถึง ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ต่าง ๆ ที่มีการบันทึกอย่างเป็นระบบตามหลักวิชาการ เพื่อนำมาเผยแพร่ และใช้งานต่าง ๆ ทุกสาขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการค้า การผลิตการบริการ การบริหาร การแพทย์ การสาธารณสุข การศึกษา การคมนาคมการทหาร และอื่น ๆ… คำว่า สารสนเทศ ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายกว้าง ๆ หมายถึง “ข่าวสาร การแสดงหรือการชี้แจงข่าวสาร ข้อมูลต่าง ๆ” (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542) ส่วนนักวิชาการในวงการบรรณารักษศาสตร์และวงการคอมพิวเตอร์ได้ให้ความหมายของคำว่า สารนิเทศ และ สารสนเทศ ดังนี้ในวงการบรรณารักษศาสตร์ให้ความหมายคำว่า สารนิเทศ หมายถึง ข่าวสาร ข้อมูล ความรู้ ข้อเท็จจริง ความคิดที่ได้มีการบันทึกไว้ในสื่อ หรือทรัพยากรสารนิเทศแบบต่าง ๆ ซึ่งบุคคลสามารถรับรู้ได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ตามต้องการ (พวา พันธุ์เมฆา, 2535) ในวงการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศให้ความหมายคำว่า สารสนเทศ คือ ผลสรุปที่ได้จาก การนำข้อมูลมาประมวล ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การสรุปทางสถิติ การเปรียบเทียบ การจำแนก หรือ จัดกลุ่ม ฯลฯ (ครรชิต มาลัยวงศ์, 2541)จากความหมายดังกล่าวพิจารณาได้ว่า สารนิเทศ หรือ สารสนเทศ มีความหมายเหมือนกัน แต่การอธิบายความหมายแตกต่างกันที่มุมมอง ทางด้านบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ให้ความหมายในด้านการบันทึก จัดเก็บและการเผยแพร่เพื่อใช้ประโยชน์ ส่วนทางด้านคอมพิวเตอร์ให้ความหมายในด้านที่มา การเกิด หรือการสร้างสารสนเทศที่มาของสารสนเทศเกิดจากการประมวลผลข้อมูลซึ่งได้แก่ การคำนวณ การเปรียบเทียบ การเรียงลำดับ การวิเคราะห์ และการสรุปผลการประมวลผลด้วยการคำนวณ มักจะกระทำกับข้อมูลที่เป็นตัวเลข สารสนเทศที่ได้จากการคำนวณสามารถนำมาอธิบายตีความหมาย และนำไปใช้ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งได้ตัวอย่างเช่น ข้อมูลตัวเลขขนาดสัดส่วน น้ำหนัก หรือความสูงของประชากร เมื่อนำมาประมวลผลด้วยการคำนวณหาค่าเฉลี่ย แล้วนำค่าเฉลี่ยไปใช้ประโยชน์ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ จะได้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานของประชากรในกลุ่มนั้น ค่าเฉลี่ยที่ได้จากการคำนวณถือว่าเป็นสารสนเทศการประมวลผลด้วยการเปรียบเทียบจะทำให้เกิดสารสนเทศที่อธิบายได้ว่า สิ่งที่นำมาเปรียบเทียบนั้นเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งจะช่วยให้ตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ดีกว่าไปใช้ประโยชน์ ตัวอย่างเช่น ผลการเปรียบเทียบการเรียนการสอนในชั้นเรียนแบบปกติกับการเรียนการสอนทางไกลผ่านทางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จะทำให้ได้ข้อค้นพบที่มีทั้งข้อดีและข้อด้อยของการเรียนการสอนทั้งสองรูปแบบนั้น ข้อดีและข้อด้อยซึ่งได้จากการนำข้อมูลมาเปรียบเทียบถือว่าเป็นสารสนเทศการประมวลผลด้วยการนำข้อมูลจำนวนหนึ่งมาเรียงลำดับ จะทำให้มองเห็นแนวโน้มหรือทำนายการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลนั้นได้ เช่น การแสดงข้อมูลราคาหุ้นขึ้นลงในตลาดหลักทรัพย์ด้วยกราฟหรือแผนภูมิ ประกอบกับการวิเคราะห์บริบทสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจในขณะนั้น จะทำให้ได้สารสนเทศที่อธิบายหรือคาดคะเนได้ว่าราคาหุ้นมีแนวโน้มไปในทิศทางใดการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นอีกวิธีหนึ่งของการประมวลผล ซึ่งมักใช้ในกระบวนการค้นคว้าวิจัยเพื่อค้นหาคำตอบจากเรื่องราวข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นปัญหา ด้วยการนำข้อมูลจำนวนหนึ่งมาแยกแยะแจกแจง ตีความหมาย ออกมาเป็นคำตอบของประเด็นปัญหาที่สงสัย ได้คำตอบที่อธิบายเรื่องราวข้อค้นพบที่เป็นประโยชน์ต่องานวิชาการและการนำไปใช้งานด้านต่าง ๆ ข้อค้นพบซึ่งเป็นผลมาจากการวิเคราะห์ข้อมูลถือว่าเป็นสารสนเทศการสรุปเป็นวิธีการประมวลผลที่ใช้กับการรวบรวมข้อมูลเรื่องราวข่าวสารจากแหล่งข้อมูลหลาย ๆ แหล่ง โดยจับประเด็นที่สำคัญและตรงกับความต้องการ แล้วนำมาสรุปเพื่อให้เกิดความชัดเจนและเหมาะสมกับการนำไปใช้ประโยชน์ ตัวอย่างเช่น การทำบทสรุปสำหรับผู้บริหารเพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจวางแผนทำธุรกิจ เป็นต้นในการอธิบายความหมายและที่มาของสารสนเทศดังกล่าว จะเห็นว่าความหมายของสารสนเทศเกี่ยวข้องกับคำสำคัญ 3 คำคือ ข้อมูล การประมวลผล และการใช้ประโยชน์ การประมวลผลโดยทั่วไปมี 5 วิธีคือ การคำนวณ เปรียบเทียบ เรียงลำดับ วิเคราะห์ และสรุปผล จึงกล่าวได้ว่า สารสนเทศคือข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลและนำไปใช้ประโยชน์ได้ สรุปได้ว่า สารสนเทศ คือ ข้อมูล ข่าวสาร ความคิดเห็น หรือประสบการณ์ ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์ รูปภาพ เสียง ที่ผ่านกระบวนการประมวลผล และบันทึกไว้อย่างเป็นระบบตามหลักวิชาการในสื่อประเภทต่าง ๆ เช่น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ วีดีโอ ซีดีรอม ฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ เพื่อนำออกเผยแพร่ และใช้ประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบริหาร การบริการ การผลิต การศึกษา การแพทย์สาธารณสุข ธุรกิจการค้า การคมนาคม และอื่น ๆนอกจากนี้มีคำอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสารสนเทศ ได้แก่“เทคโนโลยีสารสนเทศ” (information technology) หมายถึง วิธีการและอุปกรณ์เครื่องมือที่นำมาใช้กับสารสนเทศทั้งทางด้านการประมวลผลข้อมูล การจัดเก็บ การค้นคืน การเผยแพร่ และการนำไปใช้ประโยชน์ ซึ่งเทคโนโลยีที่ใช้ในการประมวลผล จัดเก็บและค้นคืนก็คือ คอมพิวเตอร์และโปรแกรมจัดการฐานข้อมูล ส่วนเทคโนโลยีที่ใช้ในการเผยแพร่ได้แก่เทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารต่าง ๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ รวมทั้งระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นต้น“ระบบสารสนเทศ” (information system) ในทางคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศหมายถึง ระบบจัดเก็บข้อมูลในด้านต่าง ๆ เอาไว้ แล้วนำข้อมูลมาประมวลให้เป็นสารสนเทศ เช่น ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (management information system หรือ MIS) ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหาร (executive information system) หรือ EIS) ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (decision support system หรือ DSS) ระบบเหล่านี้ได้รับการพัฒนา และใช้กันมากในวงการบริหารจัดการทั้งทางภาคธุรกิจและเอกชน (ครรชิต มาลัยวงศ์, 2541) ส่วนคำว่าระบบสารสนเทศในทางบรรณารักษ์และนักเอกสารสารสนเทศนั้น หมายถึง ระบบจัดเก็บและค้นคืนทรัพยากรสารสนเทศ ซึ่งได้แก่ ระบบจัดเก็บและค้นคืนหนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ โสตทัศนวัสดุอื่น ๆ สำหรับให้ผู้ค้นคว้าสืบค้นเรื่องที่ต้องการได้โดยสะดวกรวดเร็ว“การจัดการความรู้” บัญญัติมาจากคำว่า “knowledge management” หรือ KM คือ การรวบรวมองค์ความรู้ที่กระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือในเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงความรู้และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ และนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรหรือชุมชนมีความสามารถในการแข่งขัน ประเด็นที่สำคัญของการจัดการความรู้ก็คือ ทำอย่างไรให้ความรู้ที่มีอยู่ในตัวบุคคลถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด สามารถสืบทอดและปรับปรุงเพิ่มเติมได้ไม่สิ้นสุด ในกระบวนการจัดการความรู้จะเกี่ยวข้องกับกิจกรรม 5 ประการคือ การหา การสร้าง การสืบทอด การแลกเปลี่ยนและการประยุกต์ใช้ แต่กิจกรรมที่เป็นประเด็นหลักสำหรับผู้จัดการความรู้ก็คือ กิจกรรมที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างบุคคล และการพยายามที่จะทำให้ความรู้ที่ฝั่งลึกอยู่ในตัวบุคคลถ่ายทอดออกมาเป็นสารสนเทศ ซึ่งอาจเป็น ลายลักษณ์อักษร ข้อความ ภาพและเสียงเก็บรวบรวมไว้ในสื่อต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ง่าย การจัดการความรู้จะให้ความสำคัญกับความรู้ที่มีอยู่ในตัวบุคคล โดยถือว่าความรู้เป็นทรัพย์สินและเป็นทุนทางปัญญาที่มีค่า ดังนั้นในสังคมความรู้จึงมุ่งเน้นการจัดการความรู้เพื่อให้เกิดทุนทางปัญญาการสร้างความรู้ในตัวบุคคล เป็นกระบวนการที่สัมพันธ์ต่อเนื่อง โดยเริ่มจากการแสวงหาข้อมูล มาประมวลผลทำให้เกิดสารสนเทศ เมื่อทำความเข้าใจสารสนเทศจะก่อให้เกิดความรู้ และการรู้จักใช้ความรู้จะก่อเกิดเป็นปัญญา ความสำคัญของสารสนเทศมีคำกล่าวถึงความสำคัญของสารสนเทศว่า “สารสนเทศคืออำนาจ” (information is power) หมายถึง ผู้ที่มีสารสนเทศหรือได้รับสารสนเทศที่มีคุณค่าและทันสมัย มีความต่อเนื่องทันเหตุการณ์ และสามารถใช้สารสนเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผู้นั้นย่อมมีพลังหรือมีอำนาจ ได้เปรียบผู้อื่นในทุก ๆ ด้านในสังคมข่าวสาร หรือสังคมสารสนเทศ (information society) จำเป็นต้องใช้สารสนเทศ เพื่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจในเรื่องที่ตนเกี่ยวข้อง และนำความรู้ความเข้าใจมาตัดสินใจแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็ว ทันเวลากับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม ความสำคัญของสารสนเทศจึงไม่จำกัดเฉพาะนักศึกษา นักวิชาการ แต่มีความสำคัญกับผู้คนในสังคมทุกอาชีพ สารสนเทศนอกจากมีความสำคัญต่อตัวบุคคลแล้ว ยังมีความสำคัญต่อสังคมในด้านต่าง ๆ ดังนี้

1. ความสำคัญด้านการศึกษา การจัดการเรียนการสอนในปัจจุบันมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยครูผู้สอนทำหน้าที่เป็นผู้แนะนำช่วยเหลือ และกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ส่งผลให้สารสนเทศมีความสำคัญต่อการเรียนการสอนในทุกระดับการศึกษา สารสนเทศที่ดีมีคุณค่าและทันสมัย จะช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล การศึกษาค้นคว้าวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ จำเป็นต้องใช้สารสนเทศที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์ถูกต้องจากหลายแขนงวิชามาพัฒนาให้เกิดความรู้ใหม่ขึ้นมาได้2

. ความสำคัญด้านสังคม สารสนเทศช่วยพัฒนาสติปัญญาของมนุษย์ ช่วยพัฒนาบุคลิกภาพส่วนบุคคลให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข อีกทั้งช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ เกิดการประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่นำมาซึ่งความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิต เราใช้สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ทั้งการประกอบอาชีพ การป้องกันและแก้ไขปัญหาชีวิต สารสนเทศช่วยขยายโลกทัศน์ของผู้ได้รับให้กว้างขวาง สร้างความเข้าใจอันดีระหว่างมนุษยชาติ ช่วยลดความขัดแย้ง ทำให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

3. ความสำคัญด้านเศรษฐกิจ สารสนเทศมีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ที่เรียกว่า เศรษฐกิจบนฐานความรู้ (knowledge-based economy) หน่วยงานหรือผู้ประกอบการธุรกิจให้ความสำคัญกับ “การจัดการความรู้” (knowledge management) เพื่อรักษาองค์ความรู้ขององค์กรไว้ สารสนเทศด้านธุรกิจการค้าจึงถือเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญในการแข่งขัน ทั้งนี้เพราะสารสนเทศช่วยประหยัดเวลาในการผลิต ลดขั้นตอนการลองผิดลองถูก อีกทั้งช่วยให้องค์กรได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ได้ตามความต้องการของตลาดนโยบายในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย ได้ตระหนักถึงความสำคัญของสารสนเทศ จึงมุ่งปรับฐานเศรษฐกิจไปสู่การเป็นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพบนพื้นฐานความรู้ มีการสร้างความพร้อมและความรอบรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อนำมาประยุกต์ใช้และพัฒนานวัตกรรมของตนเองอย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.), 2546)4. ความสำคัญด้านวัฒนธรรม สารสนเทศเป็นรากฐานที่จำเป็นสำหรับความก้าวหน้าของอารยธรรม สารสนเทศช่วยสืบทอด ค่านิยม ทัศนคติ ศิลปะ และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์อันดีงามของชาติ ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจ ความสามัคคี ความมั่นคงในชาติ การรู้สารสนเทศการรู้สารสนเทศเป็นวัตถุประสงค์สำคัญของการศึกษารายวิชาสารสนเทศและการศึกษาค้นคว้า ดังนั้นรายวิชานี้จึงได้กำหนดหลักสูตรให้ผู้เรียนได้ศึกษาและฝึกปฏิบัติเพื่อให้มีความสามารถ และมีคุณลักษณะของผู้รู้สารสนเทศ ซึ่งนักวิชาการได้ให้ความหมาย และคุณลักษณะของผู้รู้สารสนเทศ ดังนี้“การรู้สารสนเทศ” บัญญัติมาจากคำว่า “information literacy” หมายถึง (ศรีเพ็ญ มะโน, 2536) ความสามารถ และทักษะในการแสวงหาและเข้าถึงสารสนเทศโดยใช้เครื่องมือคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ลักษณะของผู้รู้สารสนเทศ จะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถในการตั้งคำถามและระบุสารสนเทศที่ต้องการได้ด้วยตนเอง สามารถคิดวิเคราะห์และเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีเหตุผล สามารถเลือกและประเมินสารสนเทศที่ตรงกับความต้องการ รวมทั้งมีความสามารถในการสังเคราะห์ วางแผนการศึกษาค้นคว้า และอธิบายหรือนำเสนอสารสนเทศที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าได้อย่างเหมาะสม ฟอร์เธียร และคณะ (Fortier, 1998) ให้ความหมายของการรู้สารสนเทศว่า การรู้สารสนเทศและเทคโนโลยีเป็นความสามารถเฉพาะบุคคลในการใช้สารสนเทศและเทคโนโลยีเพื่อการทำงานด้วยตนเองหรือการทำงานร่วมกับผู้อื่น ความสามารถในการใช้เครื่องมือ แหล่งข้อมูล กระบวนการและระบบการสืบค้นข้อมูล การประเมินคุณค่าสารสนเทศ ตลอดจนความสามารถในการใช้สารสนเทศเหล่านั้นในการแก้ปัญหา การติดต่อสื่อสาร การตัดสินใจ รวมทั้งการสร้างองค์ความรู้ ผลิตภัณฑ์ หรือระบบใหม่ ๆเคอร์ราน (Curran, 1990, 349 อ้างถึงใน ศรีเพ็ญ มะโน, 2536) ได้กล่าวถึงลักษณะของผู้รู้สารสนเทศว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถดังนี้

1. รู้ได้ว่าสารสนเทศมีประโยชน์อย่างไร

2. รู้ได้ว่าจะค้นหาสารสนเทศได้จากที่ใด

3. สามารถสืบค้นสารสนเทศ

4. สามารถอธิบาย จัดระเบียบ และสังเคราะห์สารสนเทศ

5. สามารถใช้และนำเสนอสารสนเทศสมาคมการศึกษาบรรณารักษ์วิสคอนซิน (Wisconsin Association of Academic Librarians, 2006) กำหนดเกณฑ์มาตรฐานของผู้รู้สารสนเทศและกล่าวถึงความสำคัญของการรู้สารสนเทศว่า …ในสภาวะการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว การศึกษาในระดับอุดมศึกษาจะต้องช่วยให้ผู้เรียนรู้สารสนเทศ เกิดความสำนึกและเห็นคุณค่าในการใช้สารสนเทศเพื่อพัฒนาตัวเอง อาชีพ และการศึกษา การรู้สารสนเทศช่วยให้ผู้เรียนเข้าถึง ประเมินคุณค่า จัดระบบ สังเคราะห์และรวบรวมสารสนเทศจากแหล่งและทรัพยากรสารสนเทศที่หลากหลายได้ การรู้สารสนเทศจะนำไปสู่การมีนิสัยรักการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ตลอดชีวิต… ความสามารถของผู้รู้สารสนเทศตามเกณฑ์มาตรฐานของสมาคมการศึกษาบรรณารักษ์วิสคอนซิน จะต้องมีความสามารถ 10 ประการ ได้แก่

1. สามารถแยกแยะและอธิบายความต้องการเกี่ยวกับสารสนเทศที่จำเป็นในการแก้ปัญหา

2. สามารถวินิจฉัย แยกแยะและเลือกใช้แหล่งสารสนเทศได้อย่างเหมาะสม 3. สามารถวางแผนการสืบค้นสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. สามารถอธิบาย วิเคราะห์ผลการสืบค้นและเลือกแหล่งสารสนเทศที่ตรงกับความต้องการ

5. สามารถระบุแหล่งและค้นคืนสารสนเทศในเรื่องที่ต้องการจากแหล่งสารสนเทศต่าง ๆ ได้

6. สามารถประเมินคุณค่าและเลือกใช้สารสนเทศได้

7. สามารถจัดระบบ สังเคราะห์ รวบรวมและประยุกต์สารสนเทศไปใช้ประโยชน์ได้

8. สามารถกำหนดแนวทางแสวงหาสารสนเทศด้วยตนเองได้

9. มีความเข้าใจเกี่ยวกับแหล่งและทรัพยากรสารสนเทศ ทั้งในด้านองค์ประกอบ กระบวนการผลิต สถาบันบริการและการเผยแพร่สารสนเทศ

10. มีจริยธรรมในการใช้และเผยแพร่สารสนเทศไอเซนเบิร์ก และ เบอร์โควิทซ์ (Eisenberg & Berkowitz, 1990, cited byChowdhury & Chowdhury, 2001) ได้กล่าวถึง 6 ขั้นตอนในการแสวงหาสารสนเทศ (The “Big Six” information skills) ที่ผู้รู้สารสนเทศจะต้องปฏิบัติให้เกิดทักษะในการค้นคว้าค้นคว้าได้แก่

1. ทักษะในการกำหนดเรื่องที่จะค้นการพิจารณาเรื่องที่จะศึกษาค้นคว้า เพื่อทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าจะค้นหาสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับเรื่องใด สารสนเทศอะไรบ้างที่ต้องการ เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจประเด็นสำคัญที่ต้องการจะศึกษาให้ชัดเจน ประเด็นสำคัญเหล่านั้นมีปัญหาข้อสงสัยอะไรบ้าง นำปัญหาข้อสงสัยมาตั้งเป็นโจทย์คำถามให้ครอบคลุมประเด็นสำคัญที่จะศึกษา (ใคร? ทำอะไร? ที่ไหน? เมื่อไร? อย่างไร? ทำไม?) คัดเลือกหัวข้อคำถามที่ประสงค์จะศึกษาค้นคว้า ด้วยการพิจารณาตัวเองว่าต้องการจะค้นหาคำตอบในเรื่องใด ในการพิจารณาคัดเลือกให้ใช้คำถาม KWL คือ ฉันรู้อะไร (What I know?) มีอะไรอีกบ้างที่ฉันควรรู้ (What I would like to know?) อะไรที่ฉันรู้แล้ว (What I have already learnt?) เมื่อพิจารณาเรื่องที่จะศึกษาได้ชัดเจนดีแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการกำหนดสารสนเทศที่ต้องการค้นหา และเตรียมวางแผนการสืบค้น

2. ทักษะการวางแผนกลยุทธ์การสืบค้นเมื่อทำความเข้าใจเรื่องที่ต้องการจะศึกษาค้นคว้าชัดเจนดีแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการวางแผนการสืบค้นสารสนเทศ ในขั้นตอนนี้ผู้ค้นคว้าจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับแหล่งสารสนเทศ ซึ่งมีทั้งแหล่งที่เป็นเอกสาร สถาบัน หรือเป็นบุคคลผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ และรู้จักการใช้เครื่องมือสืบค้นสารสนเทศต่าง ๆ เช่น โอแพค อินเทอร์เน็ต ฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ดัชนีและสาระสังเขป ผู้ค้นคว้าจะต้องเรียนรู้การใช้งานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ วิธีการใช้คำสั่งในการสืบค้นและค้นคืนข้อมูล

3. ทักษะการค้นหาและเข้าถึงสารสนเทศเมื่อกำหนดแผนการสืบค้นสารสนเทศแล้ว ก็ถึงขั้นตอนลงมือปฏิบัติการค้นหา สารสนเทศอาจจะมีอยู่ในทรัพยากรสารสนเทศที่แตกต่างกันไป เช่นเป็นทรัพยากรตีพิมพ์ ได้แก่ หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ หรือเป็นทรัพยากรไม่ตีพิมพ์เช่น วีดิโอ ซีดีรอม ฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และอินเทอร์เน็ต ทรัพยากรสารสนเทศเหล่านี้มีวิธีการค้นหาและเข้าถึงแตกต่างกันไป ดังนั้นผู้ค้นคว้าจึงต้องเรียนรู้และฝึกฝนการใช้โปรแกรมและเครื่องมือในการสืบค้นสารสนเทศที่แตกต่างกัน อีกทั้งต้องรู้ว่าจะได้สารสนเทศประเภทใดจากการใช้เครื่องมือเหล่านั้น เช่น การค้นโอแพคของห้องสมุดจะได้รายการบรรณานุกรม การค้นจากฐานข้อมูลออฟไลน์ในซีดีรอมหรือฐานข้อมูลออนไลน์จะได้สาระสังเขป หรืออาจเป็นเอกสารฉบับเต็ม (full text) ค้นจากเวิร์ดวายเว็บ (www)ในอินเทอร์เน็ตจะได้ข่าวสาร บทความที่ทันสมัย เป็นต้น แหล่งสารสนเทศที่กล่าวนี้มีวิธีการเข้าถึงสารสนเทศที่แตกต่างกันในรายละเอียด เพื่อให้เกิดทักษะและสามารถเข้าถึงสารสนเทศที่มีอยู่อย่างหลากหลายได้โดยสะดวกและรวดเร็ว ผู้เรียนจึงต้องเรียนรู้และฝึกปฏิบัติ

4. ทักษะการใช้สารสนเทศสารสนเทศที่ค้นหาได้อาจมีรูปแบบและวิธีการนำเสนอที่แตกต่างกัน เช่นอาจเป็นข้อความ ตัวเลข หรือตาราง สารสนเทศบางอย่างอาจเป็นภาพวาด ภาพถ่าย เสียง วีดิโอ ผู้ค้นคว้าจะต้องเรียนรู้ว่าจะใช้สารสนเทศนั้นอย่างไร รวมทั้งฝึกฝนการใช้ทรัพยากรสารสนเทศที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะให้เกิดทักษะความชำนาญ เช่น แผนที่ ฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ สื่อมัลติมีเดีย เป็นต้น

5. ทักษะการสังเคราะห์สารสนเทศการสังเคราะห์สารสนเทศ หมายถึง จัดกลุ่ม และสร้างความสัมพันธ์ของสารสนเทศ การกลั่นกรอง และย่อความสารสนเทศในแต่ละเรื่องหรือแต่ละแนวคิด ที่ผ่านการวิเคราะห์แล้วจากหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งแหล่ง แล้วนำเสนอใหม่ในรูปลักษณ์ที่มีการปรับเค้าโครงใหม่ทั้งหมด ซึ่งเค้าโครงใหม่ที่สร้างขึ้นมาต้องนำประเด็นที่มีความสัมพันธ์กันมาเชื่อมโยงกัน จากเรื่องที่กว้างไปยังเรื่องที่เฉพาะเจาะจง

6. ทักษะการประเมินสารสนเทศสารสนเทศที่ค้นได้จากแหล่งต่าง ๆ มีทั้งที่ตรงกับความต้องการและไม่ตรงกับความต้องการ ความถูกต้อง ความทันสมัย และความน่าเชื่อถือของสารสนเทศมีความแตกต่างกัน จึงต้องประเมินเพื่อคัดเลือกสารสนเทศที่มีคุณค่า และนำไปใช้งานได้อย่างแท้จริง ดังนั้นผู้เรียนจะต้องฝึกฝนให้สามารถพิจารณาคัดเลือกสารสนเทศที่ดีมีคุณค่าและนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม รายละเอียดการประเมินสารสนเทศศึกษาในบทที่

7 สรุป“สารสนเทศ” หรือ “สารนิเทศ” หมายถึงข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ข้อเท็จจริง ความคิด ที่ได้มีการประมวลผลแล้วมาบันทึกรวบรวมไว้ในสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ วีดิโอ ซีดีรอม ฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ เพื่อนำออกเผยแพร่ และใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ คำอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้แก่ “เทคโนโลยีสารสนเทศ” หมายถึงเครื่องมือและวิธีการที่นำมาใช้กับสารสนเทศ “ระบบสารสนเทศ” หมายถึง ระบบจัดเก็บข้อมูลในด้านต่าง ๆ เพื่อนำข้อมูลมาประมวลให้เป็นสารสนเทศ “การจัดการความรู้” หมายถึง กระบวนการค้นหา การสร้าง การสืบทอด การแลกเปลี่ยนและการประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในการทำงาน และนำความรู้มาเพิ่มพูนพัฒนาต่อเนื่องอย่างไม่สิ้นสุด สารสนเทศมีความสำคัญต่อการศึกษา เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ช่วยพัฒนาบุคคลให้มีคุณภาพ สามารถดำเนินชีวิตร่วมอยู่กับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ที่เรียกว่า เศรษฐกิจบนฐานความรู้ เป็นรากฐานที่จำเป็นสำหรับความก้าวหน้าของอารยธรรม ช่วยสืบทอดค่านิยม ทัศนคติ ศิลปะ และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์อันดีงามของชาติการรู้สารสนเทศ คือความสามารถ และทักษะในการแสวงหาและเข้าถึงสารสนเทศ ผู้รู้สารสนเทศคือผู้ที่มีทักษะ 6 ประการได้แก่

1) ทักษะในการกำหนดเรื่องที่จะค้น

2) ทักษะการวางแผนกลยุทธ์การสืบค้น

3) ทักษะการค้นหาและเข้าถึงสารสนเทศ

4) ทักษะการใช้สารสนเทศ

5) ทักษะการสังเคราะห์สารสนเทศ และ

6) ทักษะการประเมินสารสนเทศ

คำถาม

1. สารสนเทศ หรือสารนิเทศ หมายถึงอะไร

2. การประมวลผลที่ทำให้เกิดสารสนเทศมีอะไรบ้าง

3. การจัดการความรู้ หมายถึงอะไร

4. ท่านได้ใช้สารสนเทศในเรื่องใดบ้าง
http://tanoo.wordpress.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%881%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA/

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา

๑. ความหมายของนวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา
๑.๑ นวัตกรรมการศึกษา (Educational Innovation) หมายถึง สิ่งที่ประยุกต์สร้างสรรค์ ดัดแปลง และคิดขึ้นมาใหม่ ซึ่งครอบคลุม แนวคิด หลักปฏิบัติ ระบบ กระบวนการ ที่นำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ หรือใช้ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการบริหาร วิชาการ และการบริการทางการศึกษา
๑.๒ เทคโนโลยีการศึกษา (Educational Technology) คำว่าเทคโนโลยีมีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน คือ Techno + Logos หมายถึง ศาสตร์แห่งวิธีการ หรือ วิทยาศาสตร์ทางเทคนิควิธี เมื่อนำมาใช้ในคำศัพท์ว่า “เทคโนโลยี” จึงหมายถึงวิทยาศาสตร์ประยุกต์ หรือการประยุกต์วิทยาศาสตร์มาเป็นวัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการต่างๆ เพื่อใช้ในการดำรงชีวิตของบุคคล และสังคม
๑.๓ นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา (Innovation and Educational Technology) หมายถึง วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการต่างๆ ที่ได้ประยุกต์และสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างเป็นระบบจากวิทยาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา และได้ผ่านกระบวนการทดสอบและทดลองจนเป็นที่ยอมรับขององค์กร
๒. พัฒนาการของนวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา

๒.๑ ระยะที่ใช้ผลิตผลทางวิทยาศาสตร์ กายภาพและวิศวกรรมศาสตร์ การศึกษาในยุคต้นๆ เป็นการศึกษาวิธีธรรมชาติ คือ เป็นวิธีการถ่ายทอดโดยตรงจากพ่อแม่สู่ลูก จากผู้ใหญ่สู่เยาวชน โดยวิธีฝึกหัดจากการปฏิบัติจริง เป็นต้น ต่อมาในยุคการค้าอุตสาหกรรมและวิศวกรรมศาสตร์ได้เจริญพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้มีผลิตผลจากการประยุกต์ศาสตร์เหล่านี้ขึ้นมามากมาย เช่น เทคโนโลยีการพิมพ์ การถ่ายภาพนิ่ง ภาพยนตร์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ เป็นต้น ประกอบกับสังคมมีความจำเป็นที่จะต้องฝึกเยาชนจำนวนมากให้มีความรู้และความชำนาญเหมือนๆกัน ซึ่งเป็นระบบที่ผู้สอนคนหนึ่งจะต้องรับผิดชอบต่อการสอนผู้เรียนจำนวนมาก การนำวัสดุและอุปกรณ์จากผลผลิตทางเทคโนโลยีอุตสาหกรรมาใช้เป็นเครื่งช่วยในการถ่ายทอดประสบการณ์ในชั้นเรียน จึงเป็นช่องทางที่จะทำให้การศึกษาดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๒.๒ ระยะยึดพฤติกรรมศาสตร์เป็นหลัก วิทยาการต่างๆของโลกได้พัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็วมากนับจากยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นต้นมา เป็นผลให้การเรียนการสอนในช่วงเวลานี้ แม้ผู้สอนจะใช้เครื่องมือโสตทัศนศึกษาต่างๆ เข้าช่วยก็ไม่อาจครอบคลุมเนื้อหาสาระได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มขึ้นมาใหม่ได้ ดังนั้นวิธีทางการศึกษาในระยะนี้จึงมีการเปลี่ยนแปลงมาเน้นการวางแผนทางการศึกษาโดยคำนึงถึงข้อมูลป้อนเข้า(Input) กระบวนการ(Process) และผลลัพธ์ที่ต้องการ(Output) ให้มีความสอดคล้องกับหลักการของกลุ่มพฤติกรรมศาสตร์ แล้วเลือกนำเสนอโดยสื่อทัศนูปกรณ์ที่เหมาะสมกับแต่ละขั้นตอนให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด แนวปฏิบัติในการวางแผนทางการศึกษานี้ ทำให้เกิดวิธีระบบ (Systems Approach) ขึ้น๒.๓ ระยะที่ใช้วิทยาการการจัดระบบเป็นหลัก ช่วงเวลานี้เป็นระยะเชื่อมต่อระหว่างสังคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มาสู่ระบบสังคมข่าวสาร ซึ่งเป็นสังคมที่มีระบบสารสนเทศเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ สังคมโลกสามารถประสานสัมพันธ์ และดำเนินกิจการทุกอย่างร่วมกันได้อย่างไร้พรมแดน
๓. ขอบข่ายของนวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษานวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา ได้พัฒนามาจนถึงยุคสังคมข่าวสารในปัจจุบัน ทำให้เกิดขอบข่ายภาระและหน้าที่ของบุคลากรทางการศึกษาที่เรียกชื่อว่า นักโสตทัศนศึกษา นักเทคโนโลยีการศึกษา นักนวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา หรือ นักเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา มีขอบข่ายครอบคลุม ๗ ด้าน ได้แก่

(๑) นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการจัดและออกแบบระบบ
(๒) นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านวิธีการทางการศึกษา
(๓) นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้นพฤติกรรมการศึกษา
(๔) นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านสารสนเทศและสื่อการศึกษา
(๕) นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการจัดการศึกษา
(๖) นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการจัดสภาพแวดล้อมทางการศึกษา
(๗) นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการประเมินทางการศึกษา
นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา เป็นปัจจัยสำคัญอย่ายิ่งที่จะทำให้เกิดการพัฒนาก้าวหน้าไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เพราะนวัตกรรมเป็นเรื่องของการคิดค้นหรือการกระทำใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ส่วนเทคโนโลยีเป็นการนำเอาสิ่งต่างๆ รวมทั้งวิธีการเข้ามาประยุกต์ใช้กับการทำงานหรือแก้ปัญหาให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด สถานศึกษาจึงควรส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาการผลิต การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รวมทั้งมีการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลเพื่อให้เกิดการใช้ที่คุ้มค่า เหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทย

http://www.trang.psu.ac.th/learning2teach/index.phpoption=com_content&task=view&id=58&Itemid=34

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องเล่า.. บ้านผีสิง แห่งอำเภอผักไห่ จังหวัดอยุธยา

เมื่อพูดถึงเรื่องผี หลายๆคนอาจให้ความเห็นและความรู้สึกที่แตกต่างกันไป บางคนอาจรู้สึกกลัว
บางคนอาจรู้สึกให้ความสนใจ จะเห็นได้ว่าเมื่อไรที่มีการเล่าเรื่องผีมักจะเป็นที่สนใจของคนหลายคนจนต้อง
จับกลุ่มพูดคุยกัน และเมื่อพูดถึงเรื่องสถานที่ที่ผีอยู่ คนทั่วไปต่างก็จะนึกถึง บ้านหรืออาคารที่หลังเก่าๆ
เคยมีคนตาย สถานที่ที่ไม่มีคนอยู่ ซึ่งสถานที่ดังกล่าวก็มีอยู่หลายแห่งหลายที่ที่ขึ้นชื่อเรื่องผีและวิญญาณ
แต่ไม่ใช่กับที่นี่ "บ้านเขียว" บ้านที่มีอายุเก่าแก่มากกว่าร้อยปี และได้ถูกกล่าวขานว่าเป็น...บ้านผีสิง



บ้านเขียวนี้เป็นบ้านเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ตั้งอยู่ในเขตตำบลอมฤต อำเภอผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา
บ้านของผมเอง เป็นบ้านของขุนพิทักษ์บริหารผู้ซึ่งเป็นนายแขวงเสนาใหญ่(ซึ่งก็คืออำเภอผัก ไห่ในขณะนี้)
บ้านเขียวเป็นบ้านทรงปั้นหยาตั้งอยู่ริมแม่น้ำน้อย สาเหตุที่เรียกว่าบ้านเขียวเพราะเดิมทีบ้านหลังนี้ทาสีเขียว
เนื่องจากเจ้าของบ้านเกิดวันพุธ ในสมัยก่อนบ้านเขียวเต็มไปด้วยความสุข ความสนุกสนาน เต็มไปด้วยความรื่นเริง
ในสมัยช่วงที่ท่านขุนฯยังมีชีวิตอยู่ได้จัดให้มีงานรื่นเริงอย่างยิ่งใหญ่ อยู่บ่อยครั้ง เช่น งานทอดกฐิน งานแข่งเรือ ฯลฯ
ทั้งยังเคยเป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จประพาสต้นมาทางแม่น้ำน้อย
จนกระทั่งเมื่อท่านขุนฯเจ้าของบ้านสิ้นชีวิต ทางญาติๆจึงได้อพยพไปอยู่ที่กรุงเทพกัน ภรรยาเจ้าของบ้านจึงยกให้เป็นสมบัติของหลวง
และบ้านหลังนี้ก็ค่อยๆเริ่มร้างและทรุดโทรมลง ต้นไม้ เถาวัลย์ ค่อยๆขึ้นปกคลุมราวกับว่ามันกำลังทำหน้าที่ปกป้องบ้านแทนเจ้าของบ้านของมันอยู่


สภาพของบ้านก่อนที่จะมีการบูรณะ

สำหรับผมเองนั้นเป็นคนในพื้นที่ บ้านของผมอยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านเขียวสักเท่าไร แต่ทำไมผมกลับไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย
ในเมื่อผมไม่เคยได้ยินชื่อบ้านเขียวแล้ว เรื่องกิตติศัพท์ถึงความเป็นบ้านผีสิง ผมยิ่งไม่เคยได้ยิน จนกระทั่งเมื่อสัก หลายปีก่อน
มีเรื่องก็ดังขึ้น เมื่อมีรายการผีรายการหนึ่ง ทางช่อง 7 ได้เข้าไปถ่ายทำรายการ และก็ได้บอกว่าได้เจอกับพลังงานพิเศษ
ได้เจอคนมาสะกิด ทั้งที่ไม่มีใครอยู่ จนกลายเป็นข่าวดังลงหนังสือพิมพ์ และสื่อโทรทัศน์อยู่หลายครั้งหลายหน
ล่าสุดเมื่อปีที่แล้วก็มี่รายการหนึ่งทางช่อง 5 นะถ้าผมจำไม่ผิด ให้พิธีกรชายเข้าไปนั่งในตัวบ้านและติดตั้งกล้องไว้
ผลปรากฎว่า ในกล้องมีเงาแว๊บไปแว๊บมา เห็นเป็นเงาเหมือนกับแขนคนที่ใส่เสื้อแขนยาว (บ้างก็เดาว่าเป็นเสื้อราชประแตน)


ภาพเด็กผู้ไปพิสูจน์บ้านร้างหลังนี้ กับภาพท่านขุนฯผู้ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้

ในช่วงนั้นผมเองก็ไม่เคยได้ไปพิสูจน์อะไรกับเขาหรอก เพราะว่าเป็นช่วงที่ผมไปเรียนอยู่ต่างจังหวัด
พอช่วงที่กลับบ้านก็เลยชวนเพื่อนไปอยู่ครั้งนึง ปรากฎว่า โห...คนมาจากไหนกัน เต็มเลย คนพวกนี้ล้วนแล้วแต่ถือธูปเทียน
มาขอหวยกัน แถมถูกอีกด้วยนะ เลยยิ่งเป็นกระแสให้คนมาขอหวยกันเต็ม ซึ่งสภาพรอบๆบ้าน กลายเป็นเหมือนงานวัด
หรืองานอะไรสักอย่าง มีทั้งร้านค้าขายก๋วยเตี๋ยว ขายขนม ทำลานจอดรถ หมดความเป็นบ้านผีสิงอย่างที่ผมคาดไว้เลย
คนก็เยอะและมาเห็นสภาพแบบนี้ก็เลยตัดสินใจกลับ เป็นอันว่าไม่ได้เข้าไปดูให้ชัดๆครับ
จนเมื่อประมาณเกือบๆ 2 ปีก่อนผมกับแฟนมีโอกาสกลับไปเยี่ยมแม่ผมที่ผักไห่ ผมก็ได้ชวนแฟนแวะไปที่บ้านเขียวแห่งนี้กัน
ด้วยความหวังว่าจะเข้าไปพิสูจน์ดู คราวนี้ผมไปตอนประมาณ 6 โมงครึ่ง กำลังโพล้เพล้เลยครับ พอไปถึงทั้งผมกับแฟนก็ยังอึ้งเลย
บรรยากาศเงียบมาก ไม่มีร้านค้าขายก๋วยเตี๋ยว ไม่มีคนมาขอหวย มีแต่บ้านเปล่าๆ พอลงจากรถเพื่อจะเดินเข้าไปในบ้าน
หน้าบ้านมีรูปท่านขุนฯเจ้าของบ้านติดอยู่ แต่ให้ตายเหอะ!!! ไม่รู้ทำไม สาบานได้ว่าผมไม่ได้โกหก ทำไมตัวผมเองถึงหนังอึ้งก็ไม่รู้
เหมือนกับขาก้าวไม่ออก จากจุดที่ผมยืนอยู่กับตัวบ้านห่างกันไม่กี่สิบเมตร ยิ่งพยายามเดินเข้าไปตัวก็ยิ่งหนัก ผมนึกว่าผมจะเป็นคนเดียว
แฟนผมก็เป็นจนแฟนผมบอกว่าไม่ต้องเข้าไป ให้กลับเหอะ... อารมณ์ตอนนั้นต่างกับอารมณ์ตอนแรกที่จะมาเลย สุดท้ายก็กลับ
พอกลับถึงบ้านก็เอาเรื่องไปเล่าให้เพื่อนๆฟัง เพื่อนก็เล่าให้ฟังว่าเมื่อกว่าปีก่อน ตัวของมันกับเพื่อนๆ ไปลองของกันไปเล่นผีถ้วยแก้วกัน
ปรากฎว่าแก้วก็ขยับแล้วมันก็ถามเรื่องโน่นเรื่องนี้อะไรไปเรื่อยเปื่อย ตามประสาวัยรุ่น ไม่รู้ว่าไปลบหลู่อะไรเขาหรือเปล่า จนมันจะกลับกัน
ก็ขี่มอเตอร์ไซต์เรียงๆกันตามมา ไอ้เพื่อนผมมันก็ขี่มอไซต์อยู่คนหน้าๆ โดยมีเพื่อนของมันขี่ตามกันมา มันมองไปที่กระจก
ก็เห็นเหมือนกับคนใส่ชุดขาว ตามมาอยู่ด้านหลัง ขี่กันไปถึงบ้านเพื่อนที่เป็นจุดหมายปลายทาง พอถึงต่างคนก็ต่างคุยกัน
ปรากฎว่าเห็นเหมือนกัน ...(ปล.เรื่องนี้โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)
ที่มา: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=manchu&group=2&month=08-2007&date=05